Monday, September 27, 2010

ประวัตินาฬิกา Ennebi


Ennebi Fondale : photo from the Internet
ประวัติ Ennebi เรียบเรียงจากเว็บของ ennebi โดย WatchKzy.com 


Luniano Nincheri และ Alessandro Bettarini ได้ก่อตั้งยี่ห้อ Ennebi (เอน เน บี้) ขึ้นมาในปี 2004 โดยมีเป้าหมายคือการออกแบบและสร้างนาฬิกาด้วยการใช้เทคโนโลยีล่าสุดในขณะที่ ยังคงไว้ซึ่งความมีเอกลักษณ์ของงานทำมือตามประเพณีการสร้างนาฬิกาตามแบบฉบับอิตาเลี่ยน

ทีมงานที่ออกแบบและดูแลทางด้านวิศวกรรมที่ใช้ในการสร้าง Ennebi นั้น เป็นทีมงานที่เคยทำหน้าที่สร้างเครื่องมือต่างๆให้กับกองทัพเรืออิตาลี ซึ่งตัว Dr. Bettarini เองนั้นเคยทำงานวิจัยและพัฒนาด้านวิศวกรรมในบริษัทแห่งหนึ่งในเมือง Florence ซึ่งตอนนี้ได้ปิดตัวไปแล้ว (ผู้แปล: หมายถึงบริษัทดั้งเดิมของ Panerai นั่นเอง) ส่วน Nincheri นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีต่างๆรับหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนา


ถึงแม้ว่าผู้ก่อตั้ง Ennebi จะเคยทำงานที่ Panerai มาก่อน แต่การออกแบบและพัฒนานาฬิกาของ Ennebi นั้นไม่ได้มีแีรงบันดาลใจหรือว่านำมาจาก Panerai แต่อย่างใด ทุกอย่างถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมาใหม่ และใช้ supplier ในอิตาลีแทบทั้งหมด


ก่อนจะมาเป็น Ennebi
ย้อนไปไกลถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเพิ่งจบลงได้เพียงไม่กี่ปี คือในปี 1925 คุณพ่อของ Alessandro Bettarini ซึ่งก็คือ Armando Bettarini  ด้วยอายุเพียง 20 ปี เค้าได้ตั้ง workshop เล็กๆขึ้นมา ซึ่งรับงาน จำพวกงานกลึงและงานสร้างต่างๆ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีบริษัทก็โตขึ้น และก็มีพนักงานคนแรก หลังจาก นั้นเค้าก็เริ่มสร้างสัมพันธ์กับบริษัทใหญ่ๆในเมือง Florence  ทำให้ต้องมีเครื่องมือและพนักงานที่มากขึ้น ด้วยเหตุนี้เองทำให้บริษัทต้องย้ายที่บ่อยๆเพื่อให้ได้พื้นที่มากขึ้น ซึ่งก็มีบริษัทที่ร่วมด้วยเป็นบริษัทที่ส่งสินค้าให้กับกระทรวงสงครามของ อิตาลีด้วย ผลงานที่โดดเด่นชิ้นหนึ่งของบริษัทของ Armando Bettarini คือ "หูยักษ์" (ตามรูป 1.) ซึ่งเป็นกรวยอลูมิเนียมขนาดยักษ์ เครื่องมือนี้จะติดตั้งบนรถ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ "ฟังเสียงเครื่องบิน" แล้วแปลข้อมูลทิศทางและระดับความสูงของเครื่องบินข้าศึก เพื่อส่งต่อให้กับฝ่ายติดตามอากาศยานจัดการต่อไป ตามปกติผู้ใช้งานเครื่องมือชนิดนี้จะเป็นคนตาบอดสองคน เพราะว่าพวกเค้าจะมีหูที่ไวกว่าคนธรรมดา
ในสมัยนั้น บริษัทตั้งอยู่ใกล้ๆ Ponte Vecchio และ Palazzo Pitti บริเวณกลางเมือง โดยบริษัทมีห้องสองสามห้อง 

รูปที่ 1. หูยักษ์
เดือนสิงหาคม ปี 1944 เมือง Florence เป็นสนามรบระหว่างกองทหาร Anglo-American ซึ่งมุ่งขึ้นเหนือ กับ กองทหารเยอรมันกับ Salo' Republic มีการก่อสงครามขึ้นหลายครั้งในเมือง โดยเยอรมันได้ทำลายสะพานทั้งหมด ยกเว้นสะพาน Ponte Vecchio เพื่อขัดขวางการเดินทางของกองทหาร Anglo-American แต่อย่างไรก็ตามมีการทำลายอาคารทั้งหมดที่ตั้งอยู่สองฝั่งของสะพาน Ponte Vecchio ที่พาดข้ามแม่น้ำ Arno ซึ่งบริษัทของ Armando Bettarini ก็อยู่ระหว่างตึกเหล่านั้น (ตามรูป 2.) นั่นคือบริษัทตั้งอยู่กลางสนามรบเลย สิ่งที่เค้าและพนักงานทำได้คือพยายามเก็บอุปกรณ์เครื่องมือที่ยังใช้งานได้ เอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไปเริ่มใหม่ที่อื่นโดยเร็วที่สุด ซึ่งก็ได้ที่ใหม่เป็นอาคารสองชั้นอยู่ชานเมือง Florence  

รูปที่ 2 บริเวณสะพาน Ponte Vecchio ในวงกลมสีแดงคือบริษัทเดิมของ Armando Bettarini


ปี 1965 Armando Bettarini ป่วยหนัก ทำให้ Alessandro Bettarini (จะเรียกว่า Dr. Bettarini) ต้องเริ่มทำงานในโรงงานของพ่อเค้า ในปี 1970 Dr.Bettarini กับ Luciano Nincheri ได้ช่วยกันสร้างเครื่องกลึงแบบควบคุมอัตโนมัติขึ้นมา (สมัยนี้ก็คือ CNC นั่นเอง) 

ปี 1980 บริษัทของ Dr.Bettarini ก็ได้เป็น Supplier ให้กับ Officine Panerai (หรือ PAM ที่เราๆรู้จักกันดี) เป็นอยู่หลายปี และ Panerai ก็จ้าง Dr.Bettarini ทำงานเลย ซึ่งงานหลักคืองานวิจัยที่ทางกองทัพเรืออิตาลีสั่งมา ทำอยู่หลายปีจนได้เป็นผู้จัดการฝ่ายออกแบบด้านจักรกลของ Officine Panerai ด้วยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการออกแบบนี่เอง ทำให้ Dr.Bettarini ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานใต้น้ำและนาฬิการุ่นที่สร้าง ขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของฝ่ายกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นของอิตาลีหรือของประเทศอื่น แต่ทาง Panerai เองก็ไม่ได้ผลิตนาฬิกาอยู่นานเหมือนกันเพราะมัวแต่ผลิตอุปกรณ์อื่นๆ 

ปี 1982 Dr.Bettarini ได้เป็นคนเริ่มติดต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำนาฬิกา ซึ่งเค้าจำได้ดีว่าได้โชว์นาฬิกา Panerai รุ่น  "Egiziano" ให้กับผู้จัดการผ่ายการค้าของบริษัทใน Milan ชื่อ บริษัท BINDA ซึ่งก็ได้รับความสนใจที่จะร่วมมือกันทางธุรกิจ แต่ว่าทางประธานของ Panerai ได้ปฏิเสธข้อเสนอไป เพราะเค้าไม่ต้องการความร่วมมือในระดับเดียวกัน เค้าต้องการเป็นผู้นำ ยิ่งไปกว่านั้น Panerai มีคำสั่งซื้อมากมายจากกองทัพเรืออิตาลี ทำให้ Panerai ไม่ต้องการให้พนักงานไปเสียเวลาทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งทาง Dr.Bettarini เองก็ได้ยืนยันจุดยืนของตัวเองจนกระทั่ง Panerai ตัดสินใจที่จะผลิตนาฬิกาขึ้นมาสำหรับนักประดาน้ำจู่โจมของกองทัพเรืออิตาลี จุดประสงค์คือการสร้างอุปกรณ์อันทันสมัยขึ้นมา หลังจากที่ฝ่ายผลิตนาฬิกาได้หยุดเคลื่อนไหวมานาน นาฬิกาที่ผลิตขึ้นมาตอนนั้นมีกระเดื่องล๊อคเม็ดมะยมด้วย แต่ในทางเทคนิคแล้วไม่มีความจำเป็น แต่ที่ยังคงไว้เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์นั่นเอง ตัวเรือนเป็น Titanium พร้อมหน้าปัดที่มีพรายน้ำ และ กระจกSapphire โดยใช้กลไกแบบขึ้นลานอัตโนมัติ และ เข็มวินาที ที่ทำให้เห็นได้ชัดว่านาฬิกาทำงานอยู่หรือเปล่า มีการสร้างตัวต้นแบบขึ้นมาสองสามเรือน และส่งไปให้กับหน่วยประดาน้ำจู่โจมของกองทัพเรืออิตาลีได้ทำ การทดสอบ ซึ่งผลการสอบออกมาค่อนข้างดี แต่ว่าก็ไม่มีการสั่งซื้อ

ปี 1985 ทั้งนาฬิกาและเครื่องมืออื่นๆของ Panerai ได้ถูกนำไปแสดงที่งานแสดงของทหารเรือที่ Genova ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่งานนี้จัดในอิตาลี และที่งานนี้เองนาฬิกาได้ถูกขโมยไปจากตู้แสดง แต่ที่แปลกที่สุด คือนาฬิกากลับมายังตู้แสดงในวันสุดท้ายของงาน
เป็นเวลาหลายปีที่ Panerai หยุดผลิตนาฬิกา อุปกรณ์ที่สวมข้อมือที่ผลิตในตอนนั้นคือเข็มทิศและเครื่องวัดความลึก ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อจากหน่วยงานของกองทัพอิตาลี และ กองทัพจากต่างประเทศ


ในช่วงปลายทศวรรต 80 สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งชื่อ Ermanno Arbertelli Editore ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ
อุปกรณ์ ที่ใช้โดยนักประดาน้ำจู่โจมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในบทหนึ่งของหนังสือนี้ชื่อ "I MEZZID'ASSALTO DELLA Xa FLOTTIGLIA MAS" ("ASSAULT DEVICES OF THE Xa FLEET MAS") ซึ่งผู้เขียนคือ  Marco Spertini และ Erminio Bagnasco ได้กล่างถึง เข็มทิศสวมข้อมือ เครื่อเชื่อมใต้น้ำ และนาฬิกา ที่ผลิตโดย Officine Panerai ในระหว่างนั้นก็มีสำนักพิมพ์ญี่ปุ่นที่ทำหนังสือเกี่ยวกับนาฬิกา ได้มีความสนใจที่จะพิมพ์หนังสือนี้สำหรับนักสะสมนาฬิกชาวญี่ปุ่น จึงมีความสนใจส่งนักเขียนไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตของ Officine Panerai และด้วยเหตุการณ์นี้เองทำให้ Panerai ได้คิดถึงการผลิตนาฬิกาออกมาขายให้กับบุคคลทั่วไปด้วย เพราะคำสั่งซื้อจากกองทัพก็ลดลงมากเช่นกัน


รูปที่ 3 หนังสือญี่ปุ่นที่เขียนเกี่ยวกับเครื่องมือของ Panerai (Dr. Bettarini คือคนที่อยู่ซ้ายสุดแถวสอง)


นาฬิกาชุดแรกผลิตใน SWISS เพื่อความสะดวกในสร้างตัวเรือน การประกอบ ไปจนถึงการทดสอบ ในสมัยนั้นผลิตออกมาสองแบบคือ Luminor และ Mare Nostrum ซึ่งก็อย่างที่รู้กันว่า Luminor นั้นขายดีมาก ส่วน Mare Nostrum นั้นไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่

นาฬิกาชุดที่สองผลิตใน Italy ทั้งหมด ซึ่ง Supplier เกือบทั้งหมดอยู่ในเมือง Florence นั่นเอง ต่อมา Panerai ประสพปัญหาด้านการเงินจึงได้ขายส่วนของการผลิตนาฬิการวมไปถึงยี่ห้อ Panerai ไปให้กับกลุ่ม VLG  การขายครั้งนี้มีการสรุปเสร็จสิ้นก่อนที่นาฬิกาชุดที่สองจะผลิตแล้วเสร็จ จึงทำให้นาฬิกาที่ผลิตขึ้นมาเป็นของเจ้าของใหม่ (VLG) นั่นเอง
เนื่องด้วยการขายในครั้งนั้น ทำให้ Dr.Bettarini ต้องทำงานกับเจ้าของใหม่ และอยู่ภายใต้บริษัทใน
Florence ซึ่งเปลี่ยนชื่อไปเป็น Panerai Sistemi โดยทำอยู่ทั้งหมด 4 ปี บริษัทในโบโลเนีย (Bologna) ชื่อ Calzozi ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการทหาร ก็ได้ทำการซื้อ Panerai Sistemi ไป
หลัง จากออกจาก Panerai แล้ว Dr.Bettarini ก็ได้ติดต่อกับเพื่อนเก่า Luciano Nincheri คุยกันเกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ในการสร้างนาฬิกาขึ้นมา ซึ่งมีความตั้งใจที่จะสานต่อประเพณีของ Florence ที่สูญหายไป เมื่อครั้งที่ยี่ห้อ Officine Panerai ได้ถูกขายไป และหาความต่อเนื่องระหว่างอดีตกับปัจจุบัน หลายปีผ่านไปเนื่องด้วยความไม่แน่นอนหลายประการทำให้ยังไม่ได้เริ่มโปรเจ็ค


ด้วย ความต้องการของทั้งสองคน ให้ในที่สุดก็ได้ตั้งบริษัท ENNEBI (เกิดจากชื่อสกุลของทั้งสองคนมาผสมกัน) มาถึงตอนนี้จุดประสงค์ได้เปลี่ยนไป ทั้งสองไม่ต้องการความต่อเนื่องจากอดีตที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ Dr.Bettarini เคยทำงานอยู่ (ผู้แปล: ซึ่งก็หมายถึง Officine Panerai นั่นเอง) อีกต่อไป


ผลิตภัณฑ์ ของ ENNEBI ควรมีระดับด้วยตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ต้องการเน้นย้ำคือ  ความเป็นอิตาลี (Italian) โดยเฉพาะเรื่องที่มาของสินค้า ทาง ENNEBI ได้ใช้วัสดุในอิตาลีและ supplier เป็นบริษัทในอิตาลีมากที่สุด
เท่าที่จะทำได้


เดือน กุมภาพันธ์ 2004 บริษัท ENNEBI ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Chianti แถวชานเมือง Florence นาฬิการุ่นแรกของ ENNEBI ผลิตขึ้นหลังจากตั้งบริษัทขึ้นมา 6 เดือน เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับมืออาชีพ ซึ่งรุ่นแรกนี้คือ FONDALE (FON-DA-LY) ซึ่งเน้นการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ใช้งานจริง


รูปที๋ 4 Clean Room ที่ใช้ในการประกอบเครื่องมือและนาฬิกา
เดือน กุมภาพันธ์ 2005 สำนักงานใหญ่ได้ย้ายไป Prato และในปีนี้ ENNEBI ได้มีการตกลงเซ็นสัญญากับ F.lli Elmi เจ้าของกลุ่มอุตสาหกรรมใน Prato ซึ่งผลิตเครื่องจักรกลแบบ Hi-Tech ตั้งแต่การออกแบบทางวิศวกรรมไปจนถึงตีพิมพ์คู่มือทางเทคนิคด้วย ซึ่งนาฬิกาของ ENNEBI จะถูกประกอบภายใน Clean Room ของ F.lli Elmi จากความร่วมมือนี้เองทำให้ ENNEBI ได้เข้าถึงเครื่องมือและบุคคลากรที่มีคุณภาพสูงอันส่งผลให้นาฬิกาที่ได้มี ความน่าเชื่อถือสูงสุด
ต่อจาก FONDALE ก็มีรุ่นอื่นๆผลิตออกมาดังนี้:
    * MICTOFO, นาฬิกาที่ผลิตตามสเปคจากหน่วยงานแห่งหนึ่งภายใต้กองทัพเรืออิตาลี
    * FIR และ VI NATIONS, นาฬิกาที่ผลิตตามความต้องการของ Italian Rugby Federation;
    * CALAMO, ปากกา ทองคำ และ เงิน ผลิตให้กับนักสะสมโดยเฉพาะ
    * BUFO, นาฬิกาสำหรับสุภาพสตรี ใช้กลไก Quartz
    * SALMO, เข็มทิศสวมข้อมือสำหรับงานใต้น้ำ
    * NAUCRATES PRO, เครื่องมือนำทางใต้น้ำ
    * IX REGGIMENTO, นาฬิกาที่ผลิตตามสเปคจาก XI Reggimento "Col Moschin" Corps.


นาฬิกาทั้งหมดนี้ผลิตจำนวนน้อยและถูกตรวจสอบทุกระยะในการผลิต นาฬิกาแต่ละเรือนจะมีการสลักตัว
เลขเพื่อใช้ในการอ้างอิง โดยที่เอกสารที่มากับนาฬิกาจะมีหมายเลขเดียวกันกับตัวเรือน


สำหรับ Ennebi นั้นมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยคือ WatchKzy บริหารงานโดย punkky

No comments:

Post a Comment