Review PANERAI PAM 249
ถ้าเห็นรูปไม่เต็มกรุณาคลิก รีวิว PAM 249 เพื่อดูรูปเต็มๆ
PAM 249 เป็นนาฬิกาหน้าตาแปลกตัวเลขครึ่งบนเป็นเลขโรมัน ครึ่งล่างเป็นเลขอารบิค แว๊บแรกที่เห็นรู้สึกว่ามันไม่สวยเลย แต่พอเห็นบ่อยเข้าก็เห็นว่ามันสวยดีเหมือนกัน ประกอบกับช่วงนี้เริ่มหายากซักนิด ก็เลยชักอยากได้ขึ้นมากระทันหัน ไปโพสต์เล่นๆว่าอยากได้ใน facebook ก็มีเพื่อนมาเสนอก็เลยไปรับมาอยู่ด้วยจนถึงทุกวันนี้ PAM 249 เป็นนาฬิกาที่ผมชอบมากเรือนหนึ่งเลย ทุกอย่างค่อนข้างลงตัว ใส่ไปไหนมาไหนมีคนทักบ่อยๆแม้เค้าจะไม่รู้จักยี่ห้อนี้ และมันก็ไม่ได้เขียนยี่ห้อไว้บนหน้าปัด PAM 249 มีคู่แฝดคือ PAM 262 ซึ่งสิ่งที่แตกต่างกันคือ PAM 249 ตัวเรือนเป็น Stainless Steel และหน้าปัดสีดำ ส่วน PAM 262 ตัวเรือนเป็น Platinum หน้าปัดสีน้ำตาลครับ
Panerai PAM 249
ประวัติ โดยย่อของ Panerai
สาเหตุ ที่ Panerai มีความดังจัดขนาดนี้ เค้าว่ากันว่าเป็นเพราะมันมีประวัติศาสตร์ที่ดี เราก็ลองมาดูประวัติเค้าสักนิด (ประวัติของ Panerai นี้ผมสรุปความมาจากหนังสือ PANERAI Style Book II ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น )
โฉมหน้า Giovanni Panerai ผู้ก่อตั้ง Panerai
ย้อน ไปในปี 1860 Giovanni Panerai (มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1825-1897) ได้สร้างร้านนาฬิกาขึ้นมาชื่อ Orologeria G.Panerai&Co.ในเมืองฟลอเรนซ์ประเทศอิตาลี โดย Giovanni นั้นถือว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Panerai ขึ้นมา ถึงแม้ว่าขณะนั้นยังไม่มีนาฬิกาเป็นของตัวเอง นาฬิกาที่ขายอยู่ในร้านเป็นนาฬิกาชั้นนำจากสวิส และด้วยฝีมือในการซ่อมสร้างนาฬิกาของ Giovanni ทำให้ร้านเค้ามีชื่อเสียงมากในวงการนาฬิกาของอิตาลี ถึงขนาดสร้างเป็นโรงเรียนนาฬิกาแห่งแรกของฟลอเรนซ์เลยทีเดียว ซึ่งร้านนาฬิกาแห่งนี้ก็ตกทอดไปถึงลูกชายของเค้าชื่อว่า Leon Francesco แต่กว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับร้านนาฬิกาแห่งนี้ก็ต้องใช้เวลา ประมาณ 30 ปี คือในปี 1890 ลูกชายของ Leon Francesco ซึ่งก็คือ Guido Panerai เปลี่ยนชื่อร้านเป็น Orologeria Svizzera และเค้ามองว่าถ้าอยากจะทำธุรกิจด้านนาฬิกานั้นต้องเป็นนาฬิกาจากสวิสเท่า นั้นจึงได้ทำการตลาดอย่างหนักหน่วง โดยติดต่อเป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกายี่ห้อดังของสวิส ไม่ว่าจะเป็น Rolex, Vacheron, Longines, Patek Phillipe ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมาของร้านในเรื่องฝีมือทำให้ร้าน Orologeria Svizzera ขายนาฬิกาดีเป็นเทน้ำเทท่า
Guido Panerai หลานของ Giovanni
จาก การเป็นนักธุรกิจที่ไม่หยุดยั้ง Guido จึงได้ทำการขยายกิจการไปทำอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆที่เป็นกลไก เช่น เครื่องมือวัดความลึก เข็มทิศ ซึ่งก็นับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Panerai ได้มีคอนเนคชั่นกับกองทัพเรืออิตาลีที่เรียกว่า Marina Militare นั่นเอง และต่อมา PANERAI ก็ได้เป็นผู้จัดทำเครื่องมือเหล่านี้ส่งให้กับกองทัพเรืออย่างเป็นทางการ
ระหว่าง นั้นก็เกิดเหตุการณ์หลาย อย่างเช่น การย้ายร้านไปอยู่อีกถนนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่น่าสนใจจำเท่าไหร่ มาดูเนื้อที่สำคัญๆดีกว่า คือในปี 1936 นั้นทางกองทัพเรืออยากได้นาฬิกาสำหรับนักประดาน้ำหรือมนุษย์กบ (frogman) ซึ่งนาฬิกานี้ต้องใช้งานได้จริงใต้น้ำ ก็คืออ่านเวลาได้จริงๆแม้ในที่ไม่มีแสง และกันน้ำได้ดีๆ ซึ่งก็มีนาฬิกาหลายยี่ห้อส่งเข้าไปทดสอบแต่ก็ไม่มีใครผ่านการทดสอบนั้น กองทัพเรือเลยขอให้ ทาง Panerai ทำนาฬิกาอย่างที่ต้องการหน่อย ซึ่ง Panerai ก็ได้สร้าง Radiomir รุ่นแรกออกมาคือรุ่น 3646 ซึ่งก็มีหลายรูปแบบ ซึ่งในรูปแบบหนึ่งก็มีหน้าตาดังในรูปนี้แหละครับ ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ก็ผ่านการทดสอบทุกอย่างด้วยดี อย่างที่บอกไปแล้วว่า Panerai เค้าทำเครื่องมือเป็นหลักมาก่อน ดังนั้นนาฬิการุ่นนี้จึงใช้กลไกรวมทั้งเม็ดมะยมและฝาหลังจาก Rolex สำหรับ PAM 249 ที่อยู่ในรีวิวนี้ก็ทำขึ้นมาย้อนยุคไปถึง Radiomir รุ่นแรกนี้นั่นและ จำนวนผลิต 1936 เรือนก็มาจากปีที่ออกรุ่นนี้มาเป็นครั้งแรกนั่นเอง
Panerai รุ่นปี 1936
จาก นั้นอีกสองปี ในปี 1938 Panerai ก็ได้ผลิตนาฬิกา Radiomir ส่งให้กองทัพเรืออิตาลีอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็มีหน้าตาดังรูปข้างล่างนี้ ซึ่งมันก็เป็นตัวต้นแบบของ PAM 232 นั่นเอง (จะนำมารีวิวในคราวหน้า)
Panerai รุ่นปี 1938
ปัจจุบัน Officine Panerai อยู่ภายใต้ Richmond Group และผลิตนาฬิกาปีนึงเพียงไม่มากรุ่นละไม่เกิน 3000 เรือน ซึ่งการผลิตจำนวนน้อยก็มีส่วนทำให้นาฬิกา Panerai แทบทุกรุ่นขายดีมากเพราะว่ามีจำนวนน้อยนั่นเอง
ก็ทราบประวัติคร่าวๆของ Panerai ไปแล้วนะครับ ต่อไปก็ไปดูส่วนประกอบของ PAM 249 ทีละส่วนกันเลยนะครับ
กระจกกันหน้าปัด หรือ Crystal
เส้น ผ่านศูนย์กลางของกระจกประมาณ 42 mm เนื่องจาก PAM 249 นั้น PANERAI ได้สร้างขึ้นมาตามแบบของนาฬิกาในสมัยปี 1936 ดังนั้นเพื่อให้คงค
วามดั้ง เดิมให้มากที่สุด PANERAI จึงได้เลือกใช้ plaxiglas ซึ่งเราจะรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือ อคลีลิค (acrylic) นั่นแหละครับ ในการปกป้องหน้าปัดจากฝุ่นผงต่างๆแทนการใช้ Sapphire Crystal เหมือนกับนาฬิกาชั้นดีทั่วๆไป ซึ่ง plexiglas นี้มีความหนาประมาณ 2mm เป็นโดมนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด โดยรวมแล้วก็ดูสวยงามโดดเด่นมาก แต่ข้อด้อยที่ชัดเจนของ plexiglas คือไม่ทนทานต่อการขูดขีด เพราะเพียงมีฝุ่นเกาะบน crystal แล้วเราเผลอเอาผ้าไปเช็ดหรือเอามือไปลูบ มันก็ทำให้เกิดรอยขนแมวได้ทันทีเลยครับ ด้วยเหตุนี้ PAM 249 จึงมาพร้อมกับ plexiglas crystal สำรองอีกหนึ่งอัน
อย่างไรก็ตามการใช้ plexiglas ก็ทำให้ PAM 249 มีความพิเศษขึ้นไปอีก เพราะว่าเป็น PANERAI รุ่นปัจจุบันเพียงรุ่นเดียวที่ใช้ plexiglas ซึ่งรุ่นอื่นๆจะเป็น Sapphire Crystal กันทั้งนั้น
Plexiglas ที่นูนขึ้นมาทำให้ดูเด่นดี
Plexiglas สำรองที่แถมมาในตลับพลาสติค
หน้าปัดแและเข็ม Dial and Hands
จุด เด่นที่สำคัญของ PAM249 คือหน้าปัดที่เรียกกันว่า California Dial ซึ่งเท่าที่ค้นดูที่ชื่อแบบนี้ก็เพราะว่าโรงงานแรกสุดที่ทำหน้าปัดแบบนี้ ตั้งอยู่ใน California หน้าปัดแบบนี้จะใช้เลขโรมันในครึ่งบนของหน้าปัด และ เลขอารบิคในครึ่งล่างของหน้าปัด ไม่มียี่ห้อบนหน้าปัด พรายน้ำบนหน้าปัดเป็นแบบ paint คือการแต้ม Luminova ลงบนหน้าปัดด้วยมือ แล้วเข้าเตาอบ ผลออกมาจึงไม่เนียนเหมือนกับที่ใช้เครื่องพิมพ์เหมือนนาฬิกาบางยี่ห้อ สีของพรายน้ำจะออกเป็น
สีออกเหลืองเลียนแบบนาฬิกาเก่า แต่พอสว่างจะเป็นสีเขียวสว่างสดใส ส่วนเข็มเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งเห็นตอนแรกดูงานไม่ค่อยดี แต่พอลองส่องใกล้ๆดูแล้วเห็นได้ว่ามันเป็นสีน้ำเงินเงาสวยมาก พรายน้ำบนเข็มสีเดียวกับบนหน้าปัดดูแล้วกลมกลืนดี หน้าปัดมีสีดำและมีขีดแบ่งย่อย 60 ขีด เพื่อให้อ่านค่านาทีได้ใกล้เคียงมากขึ้น
เข็มสีน้ำเงินบนหน้าปัดแบบ California Dial
พรายน้ำสีเขียวสว่างสดใส
ตัวเรือน Case
ตัว เรือนทรงหมอนสี่เหลี่ยมหรือที่เรียกว่า Cushion Shape มีขนาดกว้าง-ยาว ประมาณ 47x47 mm (ไม่ได้วัดละเอียดกลัวเครื่องมือไปโดนตัวเรือนแล้วจะเป็นรอย ) ส่วนที่เป็นโลหะทั้งหมดสร้างขึ้นจาก Stainless Steel 316L ขัดเงา สลักคำว่า PANERAI ไว้ที่ระหว่างขาของตัวเรือนตำแหน่ง 6 นาฬิกา ส่วนที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา สลักคำว่า OPUS FACERE ซึ่งเป็นภาษาลาติน ของคำว่า OFFICINE งานสลักตัวอักษรคมชัดดีมาก การที่มีสลักยี่ห้อไว้ที่ตัวเรือนก็นับเป็นจุดพิเศษของ PAM 249 อีกจุดหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นจุดที่นักสะสมมองกันหรือเปล่าแต่ผมคิดว่ามัน แปลกดี ดูไม่เหมือนนาฬิการาคาแพงอื่นๆที่ปะยี่ห้อหราแสดงถึงความมียี่ห้อของตัวเอง
PANERAI ถูกสลักไว้ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา
OPUS FACEREถูกสลักไว้ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา
เม็ดมะยม Crown
เม็ด มะยมเป็นแบบขันเกลียวแต่ก็ไม่ได้เสริมการกันน้ำเท่าไหร่ เพราะรุ่นนี้กันน้ำได้เพียง 30m เท่านั้น เม็ดมะยมรุ่นนี้ก็มีความพิเศษต่างจาก Panerai Radiomir รุ่นอื่นๆ ตรงที่ด้านหัวสลักเป็นตัวอักษร OP แทนที่จะเป็นรูป Logo ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีกี่รุ่นที่มีเม็ดมะยมเป็น OP แบบนี้ เพราะเคยเห็นแบบ OP ในรุ่นเก่าๆ แต่รุ่นใหม่ๆจะเป็น logo ทั้งหมด
OP สลักบนเม็ดมะยม
ขานาฬิกา Lugs
ใน รุ่นดั้งเดิมสมัยอดีตนั้นขาสายจะเชื่อมติดกับ ตัวเรือนนาฬิกาเลย ทำให้ต้องใช้สายแบบเปิดปลายหรือ Opened End Strap แล้วให้ช่างเย็บสายเข้ากับตัวเรือนเลย นับว่าเป็นความยุ่งยาก พอควรในการจะเปลี่ยนสายแต่ละครั้ง สำหรับใน PAM 249 นี้ เราสามารถถอดเปลี่ยนสายเองได้โดยง่ายเพียงขันสกรู 4 ตัวที่ยืดขาสายออกจากตัวเรือน
สกรูอยู่ที่ใกล้ๆมุมของตัวเรือนทั้ง 4 มุุม
กลไก Movement
PAM 249 ใช้กลไกมาตรฐานรุ่น OP X ของ PANERAI ซึ่งมีใช้ในรุ่นปกติทั่วไป เป็นกลไกที่ดัดแปลงจาก Unitas 6497 โดยตัดสะพานจักรเป็นรูปร่างเฉพาะของ PANERAI และเพิ่มพลังงานสำรอง เป็น 56 ชั่วโมง Unitas นั้นเป็นกลไกที่น่าเชื่อถือ เท่าที่สัมผัสมาในหลายๆยี่ห้อ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร อีกอย่างนาฬิการุ่นนี้ไม่มีเข็มวินาที ดังนั้นความผิดพลาดวันหนึ่งก็มองไม่ค่อยชัดครับ
กลไก OP X
กลไก OP X อีกมุมหนึ่ง
ฝาหลัง Case back
ฝา หลังเปลือยเผยให้เห็นกลไกที่อยู่ภายใน มีการสลัก OFFICINE PANERAI และ BREVETTATO อันหมายถึง Patented หรือ จดสิทธิบัตรไว้แล้ว) และหมายเลขlimited */1936 มีสัญลักษณ์รูปปลา ตามด้วย 30m ซึ่งมีความหมายว่ากันน้ำได้ 30m
ด้านหลังสวยงาม
สายหนัง Strap
PAM 249 มาพร้อมสายหนังวัวสีแทน (TAN) ขนาด 26x24mm พร้อม buckle แบบหางปลาวาฬขนาด 24mm เย็บติดมาเลย สายนี้ใช้ไปก็จะมีรอยดำตรงที่ buckle รัดสาย แต่ก็นับว่าเป็นสายที่สวยและหนังก็ดีมากเลย แต่ตามประเพณีของนักเล่น Panerai คือสายเส้นเดียวไม่เคยพอ ดังนั้นก็ต้องหาสายที่ชอบมาเปลี่ยนใส่กันได้ตามแต่ใครจะชอบแบบไหน PAM 249 ไม่ได้แถมไขควงสำหรับเปลี่ยนสายมาด้วย ถ้าจะเปลี่ยนสายก็ใช้ไขควงปากแบนขนาด 1.4mm หรือ 1.6mm ก็ได้ในการไขสกรูที่ยึดขานาฬิกาทั้งสี่ตัวออกมา เนื่องจากระยะระหว่างตัวเรือนกับขาสายค่อนข้างแคบ ดังนั้นสายที่จะใส่แล้วไม่เบียดกับตัวเรือน ต้องมีความหนาที่หัวสายไม่มาก สายทั่วๆไปที่ลองเอามาใส่มักจะเบียดตัวเรือนและอาจจะฝากร่องรอยกับตัวเรือน ได้ ก็ต้องเลือกดูดีๆครับ สายของ PANERAI เองจะทำส่วนนี้บางทำให้ใส่สายแล้วไม่เบียดตัวเรือนครับ และเนื่องจาก buckle เย็บติดมาเลย ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนสายก็ต้องหาหัว buckle ขนาดที่เหมาะกับสายด้วย เช่นสาย 26x24 ก็ต้องใช้หัวเข็มขัดขนาด 24mm หรือถ้าเป็นสาย 26x26 ก็ต้องใช้หัวเข็มขัดขนาด 26mm
Buckle เย็บติดสายมาเลย
สายที่มากับนาฬิกา รัดหมอนไว้เฉยๆก็ดำได้
อุปกรณ์อื่นๆ Packaging
ก็ เหมือนกับรุ่น Special Edition อื่นๆของ Panerai ซึ่งจะมาพร้อมกล่องขนาดใหญ่พิเศษ จากรูปจะเห็นว่าใหญ่กว่ากล่องของรุ่นปกติอยู่พอสมควรเลยครับ กล่องนี้มาพร้อมกุญแจล๊อคด้วย คงทำไว้เท่ห์ๆแหละ เพราะคงไม่มีใครล๊อคกล่องหรอกมั้ง เกิดกุญแจหายขึ้นมาจะยุ่งเปล่าๆ ภายในกล่องมีหนังสือประวัติของ PANERAI และ ใบประกัน
กล่องลูกฟูกนอกสุด ของ PAM 249 (ซ้าย) เปรียบเทียบขนาดกล่องกับ PANERAI รุ่นปกติ (ขวา)
แกะกล่องลูกฟูกจะมีกล่องกระดาษของ PAM 249 (ซ้าย) เปรียบเทียบขนาดกล่องกับ PANERAI รุ่นปกติ (ขวา)
กล่องไม้อยู่ในกล่องกระดาษ
เปิดกล่องไม้มาจะมีผ้ากำมะหยี่สีดำปิดของที่อยู่ข้างใน
PAM 249 นอนในกล่อง
เอกสารต่างๆพร้อมซองหนัง
หนังสือที่ผมยังไม่ได้เปิดดูเลย
กุญแจของกล่องไม้ที่ปกติคงไม่มีใครใช้
สรุป
ส่วน ตัวแล้วชอบนาฬิกาเรือนนี้มากแต่ไม่ได้นำมาใช้บ่อยนักก็เพราะว่ากระจกที่ เป็น Plexiglas นั้นเป็นรอยง่ายมาก และยิ่งนูนออกมามากด้วยแล้วยิ่งดึงดูดรอยขนแมวได้เป็นอย่างดี เพียงแค่โดนปลายแขนเสื้อก็อาจจะเป็นรอยได้ (ไม่รู้กลัวเกินเหตุหรือเปล่า) ความมีเอกลักษณ์ของ PAM 249 นั้นไม่เป็นรองใครด้วยหน้าปัด California อันเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ทำให้มันมีความแปลกพอที่จะดึงความสนใจจากคนทั่วไป ที่ไม่ได้สนใจนาฬิกาได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสำหรับท่านที่มองหา Panerai สักเรือนเพื่อการสะสมโดยเน้นเรื่องความมีประวัติศาสตร์เป็นพิเศษและแฝงกลิ่น อายของ Vintage Panerai แต่เป็นนาฬิกาใหม่ที่สามารถเชื่อถือใส่ใช้งานได้จริงๆแล้ว PAM 249 ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ ด้วยจำนวนผลิตที่จำกัดเพียง 1936 เรือนเท่านั้น ก็อาจจะต้องใช้เวลาตามหาบ้าง แต่ก็ไม่ได้หายากมากนักเพราะก็ยังเห็นมีคนขายอยู่บ่อยๆครับ
Specifications:
วัสดุตัวเรือน: Stainless Steel ขัดเงา
ขนาดตัวเรือน: 47x47mm
ความสูง(รวมกระจก) : 16mm
กลไก : ไขลานด้วยมือ Panerai OP X Calibre, ความถี่ 21600 ครั้ง/ชั่วโมง พลังงานสำรอง 56 ชั่วโมง
การบอกเวลา: นาที และ ชั่วโมง
หน้าปัด: สีดำ พร้อมพรายน้ำสว่าง
การกันน้ำ : 30m
สาย: สายหนังลูกวัวสีแทน พร้อมหัวเข็มขัดแบบเย็บติด
Blog อย่างเป็นทางการของ WatchKzy.com สนใจสินค้าสามารถซื้อได้ที่ WatchKzy.com สินค้าหลักคือ สายนาฬิกา, สายแพม, สาย Panerai, สายนาโต้ รวมไปถึงนาฬิกาที่นำเข้าโดยตรง คือ Ennebi และ Steinhart นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์ในการถอดเปลี่ยนสายนาฬิกา, หัวเข็มขัดนาฬิกา, ผ้าเช็ดนาฬิกา, ผ้าขัดลบรอยขนแมว Cape Cod
ติดต่อสอบถาม Line ID: @watchkzy (มี @ ด้วยครับ)
Saturday, May 22, 2010
Thursday, May 20, 2010
รูปเปรียบเทียบ Dievas California กับ PAM 249
มีคำถามบ่อยๆว่า Dievas หน้าปัด California นั้นเหมือนกับ PAM 249 แค่ไหน ซึ่งต้องเรียนว่าความจริงแล้ว Dievas นั้นไม่ได้ทำออกมาเลียนแบบ PAM 249 โดยเฉพาะเจาะจง ชื่อเต็มของ Dievas รุ่นนี้คือ Vintage Kampfschwimmer (Kampfschwimmer: Combat Swimmer : นักประดาน้ำจู่โจม) ตาม Catalog เค้าบอกว่าได้แรงบันดาลใจจากนาฬิกาที่นักประดาน้ำจู่โจมของเยอรมันใช้ในสมัย 1940 โดยหนัาปัดของนาฬิกาแบบนี้จะเป็น California ซึ่งหมายถึงหน้าปัดแบบที่ครึ่งบนเป็นเลขโรมัน ครึ่งล่างเป็นเลขอารบิค ซึ่งนาฬิกาที่มีหน้าปัดแบบนี้มีอีกหลายยี่ห้อเลย ดังตัวอย่างข้างล่าง
เนื้อหาตามลิงค์ http://bit.ly/bXcWZ7 (photo by Asimut from http://www.horomundi.com)
Vollmer
Aristo
รุ่นอื่นๆก็มีให้ดูที่ http://bit.ly/b6lG2L ครับ
ทีนี้มาถึงคำตอบว่า Dievas California กับ PAM 249 มีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร ก็ต้องอธิบายด้วยภาพครับ (คลิกที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่ได้ครับ)
หน้าปัด: ด้านซ้ายคือ PAM 249 ส่วนด้านขวาคือ Dievas
ตัวเรือนด้านข้าง : PAM 249 ซ้าย Dievas ขวา
ด้านข้างอีกมุมหนึ่ง : PAM 249 บน Dievas ล่าง
อีกด้านหนึ่งของตัวเรือน : PAM 249 ซ้าย Dievas ขวา
กลไก: PAM 249 ด้านซ้าย Dievas ด้านขวา ต่างเป็น Unitas 6497 ทั้งคู่ แต่ของ Panerai จะมีการขัดแต่งอีกรูปแบบแถมมี Swan Neck และเก็บพลังงานได้ 56 ชั่วโมง ซึ่ง Dievas จะเก็บพลังงานได้ประมาณ 42-48 ชั่วโมง แต่ก็ขัดแต่งได้สวยเหมือนกัน
โดยภาพรวมแล้วนาฬิกาสองเรือนนี้คล้ายกันมากๆ ต่างกันในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ถ้าเห็นคนละครั้งหรือมองไกลๆหน่อยก็แยกแยะลำบาก จะเลือกเรือนไหนก็ต้องตัดสินใจเองแหละครับ :)
เนื้อหาตามลิงค์ http://bit.ly/bXcWZ7 (photo by Asimut from http://www.horomundi.com)
Vollmer
Aristo
รุ่นอื่นๆก็มีให้ดูที่ http://bit.ly/b6lG2L ครับ
ทีนี้มาถึงคำตอบว่า Dievas California กับ PAM 249 มีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร ก็ต้องอธิบายด้วยภาพครับ (คลิกที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่ได้ครับ)
หน้าปัด: ด้านซ้ายคือ PAM 249 ส่วนด้านขวาคือ Dievas
ตัวเรือนด้านข้าง : PAM 249 ซ้าย Dievas ขวา
ด้านข้างอีกมุมหนึ่ง : PAM 249 บน Dievas ล่าง
อีกด้านหนึ่งของตัวเรือน : PAM 249 ซ้าย Dievas ขวา
กลไก: PAM 249 ด้านซ้าย Dievas ด้านขวา ต่างเป็น Unitas 6497 ทั้งคู่ แต่ของ Panerai จะมีการขัดแต่งอีกรูปแบบแถมมี Swan Neck และเก็บพลังงานได้ 56 ชั่วโมง ซึ่ง Dievas จะเก็บพลังงานได้ประมาณ 42-48 ชั่วโมง แต่ก็ขัดแต่งได้สวยเหมือนกัน
โดยภาพรวมแล้วนาฬิกาสองเรือนนี้คล้ายกันมากๆ ต่างกันในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ถ้าเห็นคนละครั้งหรือมองไกลๆหน่อยก็แยกแยะลำบาก จะเลือกเรือนไหนก็ต้องตัดสินใจเองแหละครับ :)
Wednesday, May 12, 2010
ผ้าเช็ดนาฬิกา
ใช้ผ้าอะไรเช็ดนาฬิกาดี? เป็นคำถามที่ผมได้ยินบ่อยๆ ในฐานะคนที่ชอบหยิบนาฬิกามาดูเล่น เวลาหยิบขึ้นมาแล้วมันก็จะมีรอยนิ้วมือติดที่ตัวนาฬิกา จะให้ใส่ถุงมือหยิบก็ขี้เกียจ ก็เลยไปหาผ้าที่เค้าไว้เช็ดนาฬิกามาใช้งาน เมื่อก่อนใช้ผ้า Micro Fiber สีฟ้าของ 3M ซึ่งเคยคิดว่ามันดี แต่เคยเอาไปเช็ดหน้าปัดพลาสติคแล้วมันฝากรอยไว้ ผมเลยเลิกใช้ผ้าแบบนั้นเลย นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ญี่ปุ่น มีนาฬิกาบางยี่ห้อแถมผ้า Selvyt และบอกว่ามันเป็นสุดยอดผ้าเช็ดนาฬิกาผืนละ 2000 เยน ผมเลยจัดหาผ้าที่ว่ามาใช้ ซึ่งก็ได้ผลดีเช็ดรอยคราบต่างๆออกได้ดีและไม่ทิ้งรอยไว้ เพราะเป็นผ้าคอตตอนอย่างนิ่ม แถมผืนใหญ่มากเช็ด Panerai เรือนใหญ่ๆได้สบายๆ ผ้าเช็ดนาฬิกานี้ใช้เช็ดคราบต่างๆเท่านั้น ถ้าท่านต้องการขัดลบรอยขนแมวต้องใช้ ผ้า Cape Cod ครับ สนใจซื้อผ้าเช็ดนาฬิกาเชิญได้ที่เว็บของเราได้เลยครับ >> ร้านขายอุปกรณ์นาฬิกาหรอยๆแห่งประเทศไทย
Monday, May 10, 2010
สายนาโต้ของแท้
สินค้ายอดนิยมของร้านเราคือ สายนาโต้ เราเป็นผู้นำเข้ารายแรกๆของเมืองไทย ซึ่งตอนนี้ก็มีผู้นำเข้ามาและบางร้านก็ copy คำพูดของร้านเราไปใช้หน้าตาเฉยแถมบางครั้งยังใช้รูปของร้านเราด้วย ท่านที่ซื้อสายนาโต้จากร้านเหล่านั้นต้องสงสัยไว้ก่อนว่าสายที่ได้มาอาจจะไม่เหมือนกับสายที่ขายไปจากร้านเรา สายของร้านเรานำเข้าเองและขายเอง ไม่ได้ส่งไปขายตามร้านต่างๆครับ
สายนาโต้ที่บอกว่าของแท้นั้นต้องผลิตและนำเข้าจากอังกฤษเท่านั้น เนื้อของสายจะเป็น Nylon ซึ่งแข็งกว่าของที่บอกว่ามาจากออสเตรเลีย โรงงานผลิตสายนาโต้ในอังกฤษใช้วิธีการดั้งเดิมในการผลิตสายขึ้นมา ดังนั้นโรงงานที่ใช้เครื่องจักรสมัยใหม่จะไม่มีทางเลียนแบบได้
สายนาฬิกาแบบ Nato สี James Bond และ สีธงชาติฝรั่งเศส (แดง-ขาว-น้ำเงิน) ของร้านเราจะนำเข้าจากอังกฤษแท้ๆ ขณะนี้สายสีอื่นๆของร้านเราจะนำเข้าจากออสเตรเลียเนื่องจากราคาถูกกว่า แต่เนื่องจากมีการนำเข้ามาเลียนแบบเช่นกัน ทางร้านจึงกำลังจะเปลี่ยนแหล่งของสายนาโต้ ไปนำเข้าจากอังกฤษทุกรุ่นทุกแบบ ราคาก็จะแพงขึ้นอีกนิดแต่สิ่งที่ได้มานั้นคุ้มค่าแน่ๆ สายนาโต้ของแท้นั้นมีขายที่เดียวคือที่ WatchKzy.com ความยาวและขนาดสายนั้นเลียนแบบกันได้ แต่ที่เลียนแบบไม่ได้คือวัสดุที่นำมาใช้ทำสายนั่นเองครับ เนื้อวัสดุของแท้จะละเอียดและแข็งๆหน่อยส่วนที่ไม่ใช่ของดั้งเดิมนั้นเนื้อจะเป็นคล้ายๆผ้าnylon อ่อนนิ่มกว่า นาฬิการาคาแพงของท่านต้องใส่กับสาย Nato ของแท้เท่านั้นจึงจะคู่ควรครับ
สายนาโต้ที่บอกว่าของแท้นั้นต้องผลิตและนำเข้าจากอังกฤษเท่านั้น เนื้อของสายจะเป็น Nylon ซึ่งแข็งกว่าของที่บอกว่ามาจากออสเตรเลีย โรงงานผลิตสายนาโต้ในอังกฤษใช้วิธีการดั้งเดิมในการผลิตสายขึ้นมา ดังนั้นโรงงานที่ใช้เครื่องจักรสมัยใหม่จะไม่มีทางเลียนแบบได้
สายนาฬิกาแบบ Nato สี James Bond และ สีธงชาติฝรั่งเศส (แดง-ขาว-น้ำเงิน) ของร้านเราจะนำเข้าจากอังกฤษแท้ๆ ขณะนี้สายสีอื่นๆของร้านเราจะนำเข้าจากออสเตรเลียเนื่องจากราคาถูกกว่า แต่เนื่องจากมีการนำเข้ามาเลียนแบบเช่นกัน ทางร้านจึงกำลังจะเปลี่ยนแหล่งของสายนาโต้ ไปนำเข้าจากอังกฤษทุกรุ่นทุกแบบ ราคาก็จะแพงขึ้นอีกนิดแต่สิ่งที่ได้มานั้นคุ้มค่าแน่ๆ สายนาโต้ของแท้นั้นมีขายที่เดียวคือที่ WatchKzy.com ความยาวและขนาดสายนั้นเลียนแบบกันได้ แต่ที่เลียนแบบไม่ได้คือวัสดุที่นำมาใช้ทำสายนั่นเองครับ เนื้อวัสดุของแท้จะละเอียดและแข็งๆหน่อยส่วนที่ไม่ใช่ของดั้งเดิมนั้นเนื้อจะเป็นคล้ายๆผ้าnylon อ่อนนิ่มกว่า นาฬิการาคาแพงของท่านต้องใส่กับสาย Nato ของแท้เท่านั้นจึงจะคู่ควรครับ
Sunday, May 9, 2010
Official Blog ของ WatchKzy.com
สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog ของ WatchKzy.com เราเป็น ร้านขายสายนาฬิกา ที่เน้นเรื่องคุณภาพเป็นสำคัญ สายนาฬิกาและนาฬิกาที่มีขายในร้านของเราจะได้รับการคัดเลือกเป็นอย่างดีจากผมเอง หรือที่มีชื่อเล่น punkky
กรุณาติดตาม Blog ของเรา เพื่อจะได้รับข่าวสารดีๆ ในอนาคตเมื่อระบบ Shopping Cart เสร็จแล้ว จะมีการแจกคูปองส่วนลดกันที่ Blog นี้แหละครับ นอกจากนั้นแล้วเนื้อหาที่เป็นความรู้เกี่ยวกับนาฬิกาผมจะนำมาเผยแพร่ให้รู้กันเป็นระยะๆครับ
จากซ้ายไปขวา Laco Black Pilot's Watch, Rolex Sea Dweller 1665, Seiko Marinemaster . ทุกเรือนใส่สายนาโต้ จากร้านเราครับ
กรุณาติดตาม Blog ของเรา เพื่อจะได้รับข่าวสารดีๆ ในอนาคตเมื่อระบบ Shopping Cart เสร็จแล้ว จะมีการแจกคูปองส่วนลดกันที่ Blog นี้แหละครับ นอกจากนั้นแล้วเนื้อหาที่เป็นความรู้เกี่ยวกับนาฬิกาผมจะนำมาเผยแพร่ให้รู้กันเป็นระยะๆครับ
จากซ้ายไปขวา Laco Black Pilot's Watch, Rolex Sea Dweller 1665, Seiko Marinemaster . ทุกเรือนใส่สายนาโต้ จากร้านเราครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)